นายกฯ ยืนยัน แจกเงินดิจิทัล วอลเล็ต 10,000 รวดเดียว ถึงมือประชาชน 50 ล้านคน ไตรมาส 4 นี้ วงเงิน 5 แสนล้าน ใช้ 3 แหล่งเงิน

 

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมคณะกรรมการนโยบายโครงการเติมเงิน 10,000 บาท ผ่าน Digital Wallet ครั้งที่ 3/2567 หรือ บอร์ดแจกเงินดิจิทัล ว่า รัฐบาล พยายามสูงสุดและทำตามสัญญา ที่สำคัญการดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง และอยู่ในกรอบวินัยการเงินการคลังทั้งหมด ช่วงเวลาดำเนินการ ประชาชนและร้านค้า สามารถลงทะเบียนเข้าร่วมโครงการฯ ได้ ภายในไตรมาส 3 โดยเงินจะถึงประชาชนในไตรมาส 4 ของปีงบประมาณ 2567

 

 

โครงการนี้ จะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการส่งเสริมให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในพื้นที่และช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพ โดยเฉพาะกลุ่มเปราะบางและกลุ่มเกษตรกร ความคุ้มค่าของโครงการจะให้สิทธิ์กับประชาชน 50 ล้านคน ผ่านดิจิทัล  ในวงเงิน 5 แสนล้านบาท เพื่อนำไปใช้จ่ายในร้านค้าที่กำหนด ส่งผลต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อยละ 1.2 -1.8 รัฐบาล จะดำเนินการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญของราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กระบวนการต่างๆ จะเป็นไปตามกฎหมายและกฎระเบียบที่เกี่ยวข้องรวมถึงจะต้องมีการดำเนินการอย่างโปร่งใสและตรวจสอบได้

 

ด้าน นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ที่มาของแหล่งเงินจะใช้เงินจาก3 แหล่ง ได้แก่ เงินงบประมาณรายจ่าย ปีงบประมาณ 2568 จำนวน 152,700 ล้านบาท  การดำเนินโครงการผ่านหน่วยงานของรัฐ จำนวน 172,300 ล้านบาท ใช้มาตรา 28 โดยให้ ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร เป็นผู้ดูแลกลุ่มประชาชนที่เป็นเกษตรกร จำนวน 17 ล้านคนเศษ  และการบริหารจัดการเงินงบประมาณรายจ่ายปีงบประมาณ 2567 จำนวน 175,000 ล้านบาท รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 5 แสนล้านบาท

 

ยืนยันว่า การดำเนินการใช้แหล่งเงินทั้งหมดจะคำนึงถึงความสอดคล้องกับกฎหมายต่าง ๆ เช่น มาตรา 6 แห่งพระราชบัญญัติวินัยการเงินการคลังของรัฐ พ.ศ. 2561 (พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ)   มาตรา 7 แห่ง พ.ร.บ. วินัยการเงินการคลังฯ ซึ่งกำหนดว่าการดำเนินการใด ๆ ของรัฐที่มีผลผูกพันทรัพย์สินหรือก่อให้เกิดภาระทางการเงินการคลังแก่รัฐ ต้องพิจารณาความคุ้มค่า ต้นทุน และผลประโยชน์ เสถียรภาพและความมั่นคงทางเศรษฐกิจและสังคม ตลอดจนความยั่งยืนทางการคลังของรัฐด้วย  และ พ.ร.บ. เงินตรา ฯ ที่ทาง ธนาคารแห่งประเทศไทยมีข้อกังวล

 

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวเพิ่มเติมว่า แนวทางการดำเนินโครงการฯ มีกลุ่มเป้าหมาย ประชาชน 50 ล้านคน โดยมีเกณฑ์ ได้แก่ อายุเกิน 16 ปี  ไม่เป็นผู้ที่มีเงินได้พึงประเมินเกิน 840,000 บาทต่อปีภาษี และมีเงินฝากกับธนาคารพาณิชย์และสถาบันการเงินเฉพาะกิจรวมกันไม่เกิน 500,000 บาท ถือเป็นเกณฑ์เดิมที่ไม่ได้เปลี่ยนแปลง

 

สำหรับ เงื่อนไขการใช้จ่าย แบ่งเป็น 2 กลุ่ม กลุ่มแรก คือ การใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้า โดยใช้จ่ายเชิงพื้นที่ในระดับอำเภอ กำหนดให้ใช้จ่ายกับร้านค้าขนาดเล็กตามที่กระทรวงพาณิชย์กำหนดเท่านั้น , กลุ่มที่ 2 การใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า ไม่กำหนดเงื่อนไขการใช้จ่ายเชิงพื้นที่และขนาดของร้านค้า ซึ่งการใช้จ่ายเงินสามารถใช้จ่ายได้หลายรอบ โดยรอบที่ 1 จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างประชาชนกับร้านค้าขนาดเล็กเท่านั้น ภายในระยะเวลา 6 เดือน และตั้งแต่รอบที่ 2 ขึ้นไป จะเป็นการใช้จ่ายระหว่างร้านค้ากับร้านค้า

 

สำหรับประเภทสินค้า สินค้าทุกประเภทสามารถใช้จ่ายผ่านโครงการฯ ได้ ยกเว้น สินค้าอบายมุข น้ำมัน บริการ และออนไลน์

 

ส่วนคุณสมบัติร้านค้าที่สามารถถอนเงินสดจากโครงการฯ ต้องเป็นร้านค้าที่อยู่ในระบบภาษี คือ ภาษีมูลค่าเพิ่ม / ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เฉพาะผู้มีเงินได้พึงประเมิน ตามมาตรา 40 (8) แห่งประมวลรัษฎากร / และภาษีเงินได้นิติบุคคล ร้านค้าไม่สามารถถอนเงินสดได้ทันทีหลังประชาชนใช้จ่าย แต่จะสามารถถอนเงินสดได้ เมื่อมีการใช้จ่ายตั้งแต่ในรอบที่ 2 เป็นต้นไป จะมีการจัดทำระบบ เป็นการพัฒนาต่อยอดของรัฐบาลดิจิทัลให้เป็น Super App ของรัฐบาล โดยการใช้งานจะพัฒนาให้สามารถใช้จ่ายได้กับธนาคารอื่น ๆ ในลักษณะ open loop โดยรัฐบาลจะดำเนินโครงการฯ ให้เป็นไปอย่างรอบคอบ โปร่งใส และสามารถตรวจสอบได้ตามกฎหมาย 

ทั้งนี้ เพื่อป้องกันการทุจริต คณะกรรมการฯ ได้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการด้านการตรวจสอบการกระทำที่อาจเข้าข่ายผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ โดยมีผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติเป็นประธาน ซึ่งมีหน้าที่หลักในการตรวจสอบ วินิจฉัยเกี่ยวกับการกระทำผิดหลักเกณฑ์และเงื่อนไขของโครงการฯ รวมถึงการกระทำที่อาจฝ่าฝืนต่อบทบัญญัติของกฎหมายที่เกี่ยวข้อง รวมถึงมีมติแต่งตั้งคณะอนุกรรมการกำกับ การดำเนินโครงการเติมเงิน 10,000 บาทผ่านดิจิทัลวอลเล็ต  

 

นายกรัฐมนตรี กล่าวในช่วงท้ายว่า แม้ว่าโครงการนี้เลื่อนให้ใช้เงินได้ออกไปจนถึงช่วงปลายปีนี้ แต่ยอมรับว่า รัฐบาลต้องฟังเสียงจากทุกฝ่าย เพื่อให้การดำเนินงานทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส สุจริต โดยเงิน 10,000 บาทจะโอนภายในครั้งเดียวถึงมือประชาชน


Line

คะแนนโหวต :
StarStarStarStarStar